ประวัติแบรนด์รองเท้า Adidas & Puma

Written By Enjoy on วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 | 06:27

ประวัติแบรนด์รองเท้า Adidas & Puma



Adidas  และ  Puma เป็นแบรนด์ที่รู้จักกันดีในโลกของกีฬา   พวกนักกีฬาที่มีชื่อเสียงมักใส่กัน   แต่ทั้ง 2  แบรนด์มีประวัติศาสตร์ที่ขมขื่น  โดย 2 พี่น้องชาวเยอรมัน  ชื่อ Adi (แอดดิ) กับ Rudi (รูดิ)  Dassler

 ทั้งสองพี่น้องเกิดในเมืองของ Herzogenaurach  ใน Bavaria (บาวาเรีย)  ประเทศเยอรมัน  ซึ่งเดิมเมืองนี้ยึดติดอยู่กับอุตสาหกรรมสิ่งทอ   แต่ในสงครามโลกครั้งที่ 1  โรงงานส่วนใหญ่ถูกชักจูงให้เปลี่ยนเป็นโรงงานผลิตรองเท้า   แม้ว่า Adi  ถูกฝึกให้เป็นคนทำขนมปัง   แต่เขาไม่สามารถหางานได้หลังจบสงครามโลก   ดังนั้นเขาจึงเริ่มทำรองเท้าอยู่เบื้องหลังร้านซักรีด   ในปี 1920  เป็นครั้งแรกที่รองเท้ากีฬาของAdiถูกนำไปใส่ในการแข่งขันกีฬา  และ 4 ปีต่อมา Adi กับ Rudi ได้ก่อตั้งบริษัทรองเท้ากีฬาในชื่อ Dassler (ซึ่งเป็นนามสกุลของพวกเขาเอง) รองเท้าของพวกเขามีโลโก้คือ แถบสี 2 เส้น   และใน The Berlin  Olympics ปี 1936  รองเท้าของ Dassler ถูกสวมโดย Jesse  Owens



เมื่อถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 โรงงานถูกพวก Nazis เข้าครอบครองและสั่งให้ผลิตรองเท้าบูทเพื่อทหารของเยอรมัน  และRudi ถูกเรียกตัวให้ร่วมรบกับกองทัพเยอรมันด้วย  และเขาก็ถูกทหารของ Allied จับในฐานะนักโทษสงคราม  เขาต้องใช้ชีวิตเป็นนักโทษสงครามอยู่ในค่ายทหารถึง 1 ปี  หลังสงครามจบเขาก็ได้กลับมาที่ Herzogenaurach อีกครั้ง   แต่เขาก็โกรธพี่ชายมาก  ในปี 1948  Rudi ถอนตัวออกจากบริษัท และก่อตั้งบริษัทของเขาเอง   ไม่มีใครรู้สาเหตุที่แท้จริงที่พวกเขาโกรธกัน  เรื่องแรกที่เป็นข้อสันนิษฐานที่ถูกพูดถึงคือ  Rudi โกรธที่พี่ชายไม่พยายามจะช่วยเขา  ในขณะที่เขาต้องถูกจับเป็นนักโทษ  และอีกสาเหตุที่ถูกพูดถึงคือ  แฟนสาวของ Rudi ไปตกหลุมรักกับ Adi  ในขณะที่เขาทำสงคราม  หากแต่ไม่มีใครที่รู้ข้อเท็จจริง และชื่อบริษัท Dassler ก็ได้หายไปจากโลก



  สองพี่น้องมีความคิดที่แตกต่างกันที่จะใช้ชื่อ Dassler สำหรับสินค้าของพวกเขา  บริษัทของ Rudi แต่เดิมเรียกว่า Ruda แต่ภายหลังเปลี่ยนเป็น Puma ในขณะที่ Adi ใช้ชื่อ Adidas โดยการรวมชื่อกับนามสกุลของเขา [Adi+Dassler=Adidas] โดยใช้ลักษณะเฉพาะของแถบ 3 แถบเป็นโลโก้  โดยเพิ่มเข้าไปอีก 1 แถบจากโลโก้ของ Dassler   2 บริษัทต่อสู้กันอย่างดุเดือด(ในฐานเศรษฐกิจ)  ทั้ง 2 บริษัทมีทีมฟุตบอลเป็นของตัวเอง  ตามที่ได้รู้มา กลุ่มคนงานของทั้ง 2 บริษัทจะดื่มเบียร์ต่างกันและให้ลูกหลานเรียนคนละที่  เป็นเรื่องที่น่าเศร้าที่ 2 พี่น้องไม่เคยที่จะคืนดีกัน  ข้อโต้แย้ง(และคำพูด)ของพวกเขาจะถูกแลกเปลี่ยนกันเฉพาะในชั้นศาลเท่านั้น  แต่ทั้ง 2 บริษัทกลับประสบความสำเร็จ
06:27 | 0 ความคิดเห็น

จัดอันดับเกมส์ ทำเงิน ให้กับร้านอิืนเตอร์เน็ตคาเฟ่ มากที่สุด

Written By Enjoy on วันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 | 04:48

 ร้านเกมส์ ที่ลูกค้าถามถึง และต้อง ค่อยอัพเดตเกมส เหล่านี้เป็นประจำ เพราะ มันเป็นเกมส์ที่ทำเงิน หรือ แหล่งรายได้หลักของร้านก็ว่าได้มาดูกันว่า เกมส์ เหล่านี้



FIFA Online 2










Frozen Throne






PointBlank








TalesRunner










Raycity Online





XSHOT





Audition







Zone4



04:48 | 0 ความคิดเห็น

About Us

Written By Enjoy on วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556 | 07:28



                          blog นี้เขียนขึ้นในสิ่งที่ชื่นชอบเเละรวบรวมความรู้ต่างๆ
07:28 | 0 ความคิดเห็น

ปลูกผักสวนครัว

ปลูกผักสวนครัว

 
 

ประโยชน์ของ การปลูกกะเพรา

กะเพราจัดเป็นพืชสมุนไพรได้อย่างเต็มตัวชนิดหนึ่ง เพราะมีสรรพคุณรักษาโรคได้หลายชนิด ทั้งตำราไทยและต่างประเทศ ก็ระบุความเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้ของกะเพราเอาไว้หลายด้านเช่น ตำราสมุนไพรไทย บรรยายสรรพคุณด้านยาของสมุนไพรเอาไว้ว่า รสฉุน ร้อน ขับลมแก้ซาง แก้ท้องขึ้น ปวดท้องบำรุงธาตุ แก้จุดเสียดในท้อง ช่วยย่อยอาหาร

ในตำราสมุนไพรไทย ได้จัดแบ่งสมุนไพรออกเป็นจำพวกต่างๆ รวมทั้งพิกัดอีกมากมาย ในจุลพิกัดซึ่งมีสมุนไพรกลุ่มละ 2 ชนิดนั้น ระบุถึงกลุ่มที่เรียกว่า ”กะเพราทั้ง 2 ” หมายถึง ส่วนราก ต้นใบ ดอก และ ผลของกะเพรา ซึ่งใช้ด้วยกันทั้งหมดในตำรานั้น ในตำรับยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณซึ่งมีอยู่ 6 ตำรับนั้น มีอยู่ตำรับหนึ่งชื่อว่า”ยาประสะกะเพรา” หมายถึง มีกะเพราเป็นสรรพคุณหลักของกะเพรานั่นเอง

นอกจากนี้กะเพรายังเป็นส่วนประกอบของยาอีกมากมาย เช่น ยารักษาตานขโมยสำหรับเด็ก ยาแก้ทรางเด็ก และยากินให้มีน้ำนมสำหรับมารดาเป็นต้น ในต่างประเทศมีการใช้กะเพราเป็นยารักษาโรคอย่างกว้างขวางยิ่งกว่าประเทศไทย เสียอีก โดยเฉพาะในอินเดียถือว่ากะเพราใช้รักษาโรคได้ทุกโรคเลยทีเดียวกะเพราเป็นพืช ที่ปลูกง่ายมากชนิดหนึ่งเพื่อแต่โรยเมล็ดลงบนพื้นดินแล้วรดน้ำพอชุ่มชื้น กะเพราก็จะงอกงามได้ดี








ประโยชน์ของ การปลูกกระเทียม

กระเทียม เป็นอาหารหรือเครื่องเทศ โดยใช้ทั้งต้นเป็นอาหาร หัวกระเทียมสด-แห้ง และน้ำมันกระเทียมใช้ เป็นเครื่องเทศแต่งกลิ่นอาหาร เป็นอาหารเสริมสุขภาพ ใช้บำบัดอาการไอ หวัด หลอดลมอักเสบเรื้อรัง ปวดฟัน ปวดท้อง อาหารไม่ย่อย โรคความดันโลหิตสูง เส้นเลือดเปราะ ขับลม ขับเสมหะ ขับปัสสาวะ ขับประจำเดือน ขับพยาธิไส้เดือน ลดอาการอักเสบบวม ฆ่าเชื้อ แก้โรคผิวหนัง น้ำกัดเท้า เป็นยาฆ่าแมลง น้ำมันกระเทียมใช้ทาแก้แมลงกัดต่อย
วิธีการใช้กระเทียมเพื่อรักษาโรคต่างๆ
1.ใช้ขับเหงื่อ ขับปัสสาวะและขับเสมหะ โดยใช้กระเทียมสดครึ่งกิโลกรัมทุบพอแตก แช่ในน้ำหวานหรือน้ำผึ้ง 1 ถ้วย ประมาณ 1 สัปดาห์ รับประทานครั้งละครึ่งช้อนโต๊ะ วันละ 3 ครั้ง
2.ใช้ขับลมในกระเพาะอาหาร แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ โดยใช้กระเทียมสด 5-7 กลีบ บดให้ละเอียดผสมกับน้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ เติมน้ำตาลและเกลือเล็กน้อย กรองเอาแต่น้ำดื่มวันละ 3 ครั้ง หลังรับประทานอาหาร
3.ใช้รักษาแผลสด แผลเป็นหนอง โดยใช้กระเทียมสดปอกเปลือก นำมาทุบหรือฝานทาในบริเวณที่เป็นแผล
4.ใช้รักษาโรคผิวหนังที่เกี่ยวกับเชื้อรา เช่น กลาก เกลื้อน น้ำกัดเท้า เชื้อราในช่องคลอด โดยใช้น้ำที่คั้นจากกระเทียมสดทาบริเวณที่เป็น
5.ลดอาการปวดฟันจากฟันผุ โดยใช้กระเทียมสดสับละเอียดอุดฟันที่ผุ
6.ใช้รักษาอาการปวดหู หูอื้อ หูตึง โดยใช้น้ำกระเทียมหยอดหูประมาณ 1-2 หยด วันละ 3-4 ครั้ง
7.ขับพยาธิ โดยนำรากกระเทียมผสมกับน้ำนมหรือกะทิสด คั้นเอาน้ำรับประทาน
8.แก้ปวดหัวหรือไมเกรน โดยการนำเอามาประกอบอาหาร หรือรับประทานสดครั้งละ 10 กลีบทุกวัน




ประโยชน์ของ การปลูกตะไคร้

ใบ รสปร่า ลดความดันโลหิต แก้ไข้
ต้น รสหอมปร่า ขับลม แก้โรคทางเดินปัสสาวะ แก้นิ่ว ดับกลิ่นคาว เจริญอาหาร
เหง้า รสปร่า แก้เบื่ออาหาร บำรุงไฟธาตุ แก้กษัย ขับลมในลำไส้ แก้ปัสสาวะขัด แก้ปัสสาวะพิการ แก้นิ่ว
ทั้งต้น รสหอมปร่า แก้หืด แก้ปวดท้อง ขับปัสสาวะ บำรุงธาตุ ขับเหงื่อ

1. แก้ปัสสาวะขัด ใช้ต้นสด (ตัดใบทิ้ง) หนัก 40 - 60 กรัม หรือ 1 กำมือ ถ้าใช้แห้งประมาณ 20 - 30 กรัม ต้มกับน้ำ 3 - 4 ถ้วยชา แบ่งน้ำดื่มวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 ถ้วยชา ก่อนอาหาร ทำเช่นนี้ทุกวัน หรืออีกวิธีหนึ่งนำเหง้ามาฝานเป็นแว่นบาง ๆ คั่วไฟอ่อน ๆ พอเหลือง ใช้ครั้งละ 1 หยิบมือ ชงกับน้ำ 1 ถ้วยชา รินเอาแต่น้ำใส ดื่มจนหมด รับประทานวันละ 3 ครั้ง เมื่อปัสสาวะคล่องดีแล้วจึงหยุดยา
2. แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ ปวดท้องเกร็ง คลื่นไส้อาเจียนจากธาตุไม่ปกติ ใช้ต้นตะไคร้แก่สด ๆ ทุบพอแหลกประมาณ 1 กำมือ(40 - 60 กรัม) ต้มเอาน้ำดื่มหรือใช้เหง้าขนาดเท่าหัวแม่มือ (ใช้สดประมาณ 5 กรัม) หรือแห้งประมาณ 2 กรัม) ทุบให้แตก ต้มเอาน้ำดื่ม หรือใช้ ตะไคร้ทั้งต้น (รวมราก) จำนวน 5 ต้น สับเป็นท่อนต้มกับเกลือ ต้ม 3 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วน รับประทานครั้งละ 1 ถ้วยแก้ว รับประทาน 3 วัน จะหายปวดท้องเกร็ง


น้ำมันตะไคร้ใช้เป็นเครื่องหอมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสบู่ ยาหม่องหรือทำเป็นของพ่นทาผิวหนังเป็นยากันแมลง 

 


 


ประโยชน์ของ การปลูกแตงกวา

แตงกวามีน้ำเป็นองค์ประกอบถึงร้อยละ 96 จึงมีคุณสมบัติแก้กระหาย และเพิ่มความชุ่มชื้น และช่วยการกำจัดของเสียตกค้างในร่างกาย

นอกจากนี้แตงกวามีสารอาหารที่มีประโยชน์ ได้แก่ วิตามินซี กรดคาเฟอิก กรดทั้ง 2 นี้ป้องกันการสะสมน้ำเกินจำเป็นในร่างกาย

เปลือกแตงกวามีกากใยอาหาร และแร่ธาตุจำเป็น เช่น ซิลิก้า โพแทสเซียม โมลิบดีนั่ม แมงกานีส และแมกนีเซียม

ซิลิก้าเป็นแร่ธาตุที่เสริมความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ กระดูกอ่อน เส้นเอ็น และกระดูก
ปริมาณ เส้นใย ธาตุโพแทสเซียมและแมงกานีสในเปลือกแตงกวาช่วยควบคุมความดันเลือดและความ สมดุลของสารอาหารในร่างกาย ธาตุแมกนีเซียมช่วยเสริมการทำงานของระบบประสาท กล้ามเนื้อ และระบบการหมุนเวียนเลือด เส้นใยอาหารควบคุมระดับคอเลสเตอรอลและช่วยระบบขับถ่ายโดยมีพลังงานต่ำเหมาะ กับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก

แตงกวาเป็นผักที่เหมาะกับการกินยาม อากาศร้อนเพราะลดความร้อนและช่วยให้ร่างกายสดชื่น มีสารฟีนอลทำหน้าที่ต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่น นอก จากนี้ น้ำแตงกวายังมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ แก้ไข้ ลดอาการนอนไม่หลับ ลดกรดกระเพาะอาหาร แก้กระหายน้ำ และลดอาการโรคเกาต์ โรคไขข้อรูมาติสม์ และอาการบวมน้ำอีกด้วย

แตงกวากับสุขภาพและความงาม
ป้องกันสิวและสิวหัวดำ
ใช้เนื้อแตงกวาขูดฝอยพอกบริเวณหน้าและคอเป็นเวลา 15-20 นาที บำรุงผิว ถ้าใช้บ่อยจะป้องกันผิวหน้าแห้ง ป้องกันการเกิดสิวและสิวหัวดำ

ผิวหน้าสดใส
ใช้ น้ำมะนาวเล็กน้อยและน้ำลอยกลีบกุหลาบ (ที่ปลูกเองแบบปลอดสาร ใช้กลีบกุหลาบมากหน่อย น้ำไม่ต้องมาก วัตถุประสงค์คือให้น้ำมันหอมจากกลีบกุหลาบออกมาอยู่ในน้ำ) ผสมกับน้ำคั้นผลแตงกวา ทาบนผิวหน้าเพื่อทำให้ใบหน้าสดใส (โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีผิวมัน)

ผิวหน้าผุดผ่อง
ใช้น้ำคั้นผลแตงกวาและนมสดปริมาณเท่าๆกัน เติมน้ำลอยกลีบกุหลาบ 2-3 หยด ทาหน้านาน 15-20 นาที ทำให้ผิวหน้านุ่มและขาวขึ้น

ลบถุงดำใต้ตา
ใช้น้ำคั้นผลแตงกวา 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำคั้นมันฝรั่ง 1 ช้อนโต๊ะ ทารอบขอบตา พักราว 15 นาทีจึงล้างออก

บำรุงผิว
ผสมน้ำคั้นแตงกวา น้ำมะนาว น้ำส้ม น้ำแช่กลีบกุหลาบ กลีเซอรีน และน้ำผึ้งอย่างละเท่าๆกัน ใช้ทาผิวให้ตึงกระชับเพิ่มความอ่อนเยาว์

ลดรอยหมองคล้ำใต้รักแร้
ผสม น้ำมันมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำคั้นผลแตงกวา 1 ช้อนชา น้ำมะนาว 1 ช้อนชา และผงขมิ้นครึ่งช้อนชา หลังจากอาบน้ำเช็ดตัวให้ใช้สำลีชุบน้ำมันมะพร้าวเช็ดบริเวณใต้รักแร้เป็นวง กลม หลังจากนั้นผสมน้ำแตงกวา น้ำมะนาว และผงขมิ้นให้เข้ากัน ทาใต้รักแร้ทิ้งไว้ 20 นาที จากนั้นล้างออกและเช็ดให้แห้ง ทำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

ช่วยการเจริญของผม
ให้ดื่มน้ำคั้นผลแตงกวาและน้ำแครอตเป็นประจำ ซิลิก้าและกำมะถันในน้ำแตงกวาบำรุงเส้นผม เล็บและผิวหนัง

ทรีตเม้นท์ลดความเสียหายของผมจากคลอรีน
ผสมไข่ 1 ฟอง น้ำมันมะกอก 3 ช้อนชา และแตงกวาปอกแล้ว 1 ส่วน 4 ผล ชโลมบนเส้นผม ทิ้งไว้ 10 นาทีจึงล้างออก

ลบรอยด่างดำ
การ ดื่มน้ำคั้นผลแตงกวาจะช่วยลดรอยด่างดำบนผิวหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่องรอยยุงกัด และให้ทาน้ำแตงกวาผสมน้ำลอยกลีบกุหลาบอัตราส่วนเท่าๆ กันด้วย

แก้อาการเจ็บคอ
แก้อาการเจ็บคอโดยกลั้วคอด้วยน้ำคั้นผลแตงกวาวันละอย่างน้อย 3 ครั้ง

แก้อาการท้องผูก
น้ำคั้นผลแตงกวาเป็นยาระบายอย่างอ่อน ลดกรดในกระเพาะอาหาร ขับปัสสาวะและช่วยการขับถ่าย

มิตรแท้ของดวงตา
หั่น แตงกวาเป็นแว่นตามขวาง หลับตาวางแว่นแตงกวาลงบนเปลือกตา นอนในที่เงียบแสงสลัวๆ จะบรรเทาอาการเหนื่อยล้าของดวงตา ที่เกิดจากการใช้งานนานๆ ได้รับฝุ่นควัน แสงจ้า หรือใส่คอนแท็กเลนส์นานเกินไป

ฟังสรรพคุณมามากแล้ว วันนี้ไปลองดื่มน้ำคั้นผลแตงกวากันดีกว่า
แตง กวา 2 ผลหรือแตงร้านหนึ่งผล น้ำ 2 ถ้วย น้ำแข็ง 1 ถ้วย น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะหรือตามชอบ น้ำมะนาวครึ่งผล ใส่เครื่องปั่นจนเป็นเนื้อเดียวกัน อาจใส่ผลไม้อื่นด้วยเช่นแคนทาลูปหรือแตงโม ถ้าใส่ผลไม้อื่นสามารถลดน้ำตาลได้อีกด้วย หรืออาจใช้น้ำเพียง 1 ถ้วย ปั่นแล้วเทใส่แก้วเติมโซดาเย็น 1 ถ้วยก็ได้








ประโยชน์ของ การปลูกเห็ดฟาง 

เห็ดฟางให้วิตามินซีสูง และมีกรดอะมิโนสำคัญอยู่หลายชนิด เชื่อว่าหากรับประทานประจำจะช่วยเสริมภูมิคุ้มกันลดการติดเชื้อต่างๆ แต่ก็ไม่ควรรับประทานสด ๆ เพราะมีสารที่คอยยับยั้งการดูดซึมอาหาร ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน โรคเหงือก และลดอาการผื่นคันต่างๆ

07:09 | 0 ความคิดเห็น

ชุดแข่งนักฟุตบอล เยอรมัน บุนเดสลีกา 2013-2014

ชุดแข่งนักฟุตบอล เยอรมัน บุนเดสลีกา 2013-2014

ชุดแข่ง บาเยิร์นมิวนิค 2013-2014



ชุดแข่ง ดอร์ทมุนด์ 2013-2014


ชุดแข่ง ชาลเก้04 2013-2014



06:38 | 0 ความคิดเห็น

ชุดแข่งนักฟุตบอล อิตาลี กัลโช่ ซีเรียอา 2013-2014

ชุดแข่งนักฟุตบอล อิตาลี กัลโช่ ซีเรียอา 2013-2014

ชุดแข่ง อินเตอร์มิลาน 2013-2014






ชุดแข่ง ยูเวนตุส 2013-2014
 














06:33 | 0 ความคิดเห็น

ชุดแข่งนักฟุตบอล สเปน ลาลีกา 2013-2014


ชุดแข่งนักฟุตบอล สเปน ลาลีกา 2013-2014

ชุดแข่ง บาร์เซโลน่า 2013-2014








ชุดแข่ง เรอัล มาดริด2013-2014

















ชุดแข่ง แอตฯมาดริด 2013-2014







ชุดแข่ง บาเลนเซีย 2013-2014







06:09 | 0 ความคิดเห็น

กีฬา

05:56 | 0 ความคิดเห็น

เทคนิคการปลูกผักหวานป่า

การปลูกผักหวานป่าให้โตเร็ว
สวัสดี ครับ สมาชิกผู้สนใจปลูกผักหวานป่า เพราะผักหวานป่าการเพาะเมล็ดให้งอกนั้นง่ายแต่การปลูกให้โตนั้นค่อนข้างยาก พอสมควรครับ วันนี้ผมได้นำวิธีปลูกผักหวานป่าแบบใหม่ที่ได้ทดลองมาประมาณ 1 ปี เห็นว่าเจริญเติบโตดีมาก จึงเป็นทางเลือกอีกวิธีหนึ่งสำหรับผู้ที่กำลังปลูกแล้วรู้สึกท้อถอย เป็นวิธีปลูกที่ง่ายมาเลยครับ เริ่มเลยนะครับ มีขั้นตอนดังนี้
 
 
 
 
1. เมื่อได้เมล็ดผักหวานป่าด้วยวิธีใดก็ตาม หลังจากเอาเนื้อและเปลือกออกและล้างให้สะอาด แล้วนำลงเพาะในถุงไว้ได้เลย โดยใส่เมล็ดในแนวนอน




 2. เตรียมดินใส่ถุงสำหรับเพาะชำ จะใช้ดินอย่างเดียวหรือจะผสมขี้วัวแห้งหรือปุ๋ยอินทรีย์อื่นก็ได้ อัตราส่วน ดิน 2 ส่วน ขี้วัวแห้ง 1 ส่วน วางไว้ในที่เด็กและสัตว์เลี้ยงไม่รบกวนและไม่จำเป็นต้องทำโรงเรือน วางไว้ใต้ต้นไม้หรือกลางแดดก็ได้ ( เพราะเราวางไว้แค่ 20 วัน) จากนั้นนำเมล็ดผักหวานป่าลงเพาะในถุง และให้นำเมล็ดแค(ดอกแค) ใส่ลงไปด้วยถุงละ 1 เมล็ด แล้วรดน้ำให้ชุ่ม วันละ 1-2 ครั้ง

3. เมื่อครบ 20 วัน เมล็ดของต้นแคจะงอกสูงประมาณ 1 คืบ หรือกว่านั้น ให้นำผักหวานป่าที่เพาะไว้ไปปลูกลงแปลง ทั้งถุง โดยให้เอามีดกรีดก้นถุงออก การขุดหลุมเล็กใหญ่ตามกำลัง หรือจะขุดพอดีถุงก็ได้แต่ให้ลึกว่ากว่าถุง ประมาณ 1 เท่า (ถ้าถุงสูง 4 นิ้ว ขุดลึกอย่างน้อย 8 นิ้ว) เหมาะสำหรับคนขี้เกียจอย่างผมครับ (แต่การขุดหลุมใหญ่และลึกจะดีกว่า)

4. ถ้ามีน้ำก็ให้ ให้น้ำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง แต่ถ้าไม่น้ำมีตอนปลูกให้เอาดินกลบเมล็ดในถุงเพื่อรักษาความชื้นไว้ หากต้นแคตาย ให้นำเมล็ดมาใส่ใหม่ พอฝนมาได้น้ำก็จะงอกเอง

5. การดูรักษาก็เหมือนการปลูกด้ววิธีอื่น 1-2 ปีแรกไม่ควรดายหญ้าเพราะจะกระทบกระเทือนรากให้ใช้วิธีตัดเอาครับ วิธีที่กล่าวมานี้ไม้ต้องปลูกไม้พี่เลี้ยงแล้วเพราะต้นแคเป็นไม้พี่เลี้ยง ได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญผักหวานป่าได้น้ำเลี้ยงจากต้นแคทำให้โตเร็วมากๆ ขอบอก 1 ปี สูงประมาณเข่า-เอว และห้ามตัดต้นแคออกเด็ดขาดเพราะจะทำให้ผักหวานป่าตายได้ ดังรูปต่อไปนี้






นี่คือสวนผักหวานป่าที่ปลูกตามวิธีที่กล่าวมา อายุ 11 เดือน ถึงวันที่ไปถ่ายภาพมาเมื่อเดือนเมษายน 2553 เจ้าของสวนเห็นว่าผักหวานโตดีแล้ว เลยตัดต้นแคออกคิดว่าจะไปแย่งอาหารกับผักหวานป่า ผลที่ได้อย่างภาพที่จะได้เห็น ต่อไปนี้




เมื่อตัดต้นแคออก ทำให้ต้นแคตายเพาระตัดต่ำเกินไป ต้นผักหวานป่าก็ตายตามไปด้วย เพราะไม่สามารถหาอาหารเองได้ ช่วงนี้ต้องอาศัยน้ำเลี้ยงจากต้นแค เพราะต้นแคมีรากที่ลงลึกกว่า




ต้นนี้ก็กำลังจะตายเพราะขาดน้ำ และตอของต้นแคเริ่มตายแล้ว




แต่...ตอของต้นแคที่ไม่ตายเริ่มแตกกิ่งใหม่ได้แม้ว่าในหน้าแล้งก็ตาม ทำให้ต้นผักหวานป่ารอดตายไปด้วย นี่คือเพื่อนแท้ของผักหวานป่า เพราะผักหวานป่าได้น้ำเลี้ยงจากต้นแคครับ



ต้นนี้ก็เหมือนกันครับ ผักหวานป่าสามารถอยู่ร่วมได้กับต้นแคได้ในหลุมเดียวกันโดยไม่มีการแย่งอาหาร อย่างที่หลายๆคนเข้าใจและคิดไปกันเอง
สำหรับ ท่านที่ปลูกผักหวานป่ามาก่อนหน้านี้ ท่านสามารถปลูกต้นแคลงไปในหลุมผักหวานป่าได้เลย ยังไม่สายเกินไป ลองทำตามนี้ดูได้ผลเป็นประการใด ช่วยเล่าให้ฟัง(อ่าน) กันบ้างในบล็อกแห่งนี้ ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันจะได้เป็นวิทยาทานแก่ผู้ที่สนใจปลูก ผักป่า และทั่วไปด้วยครับ

สรุปว่าการปลูกผัก หวานป่าให้เจริญเติบโตได้ดีนั้น ไม้พี่เลี้ยงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งเพราะธรรมชาติของผักหวานป่าเป็นไม้พื้น ล่างที่ต้องการร่มเงาและแสงรำไร ต้นแคเป็นพืชที่ถูกโฉลกกับผักหวานป่ามากที่สุด เพราะ แค เป็นพืชตระกูลถั่วที่สามารถตรึงในโตรเจน ในอากาศลงมาที่รากได้ เหมือนพืชถั่วทั่วไป แต่แคมีอายุที่ยาวนานกว่าถั่วต่างๆ หลายเท่าจึงเป็นผลดีกับผักหวานป่าในระยะยาว และเป็นพืชที่ต้นไม่โตเกินไป ร่มเงาไม่ทึบ และดอกก็ใช้เป็นอาหารได้ พืชพี่เลี้ยงที่รองมาจากแค ได้แก่ น้อยหน่า มะขามเทศ ตะขบ เป็นต้น ผักหวานป่าต้องการไม้พี่เลี้ยง และหากได้ไม้พี่เลี้ยงที่เป็นเพื่อนแท้ของผักหวานป่าแล้วะก็จะทำให้เราประสบ ความสำเร็จในการปลูกแน่นอน เหมือนที่ผมได้ทดลองมาแล้วครับ
05:42 | 0 ความคิดเห็น